วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2551

อุดรธานี คนลาวชวนไปกินเส้น

อุดรธานี คนลาวชวนไปกินเส้น



อุดรธานี คนลาวชวนไปกินเส้น

“ชะอม”...ชวนชิม “แม่ฟักทอง”...ชวนชม

ห่าง หายอาหารเส้นไปหลายฉบับ คอเส้นหลายคนคงคิดถึงความอร่อยของเมนูสารพัดเส้นที่รายเรียงอยู่ระหว่างการ เดินทางกันไม่น้อย มาชวนชิมฯ กันถึงอีสานเหนือคราวนี้ “ชะอม” เลยซอกซอนเข้าไปในเมืองใหญ่อย่างอุดรธานี วนเวียนอยู่ตั้งนานกว่าจะได้ของเด็ดมาฝากกัน
จะพาไปอร่อยกับเฝอ อาหารญวนตามแบบฉบับพื้นเมืองของคนอุดรฯ
ร้านนี้ชื่อเฝอลาว ไม่ต้องงงหรอก เห็นบอกอาหารญวน แล้วไหงลงท้ายด้วยลาว คุณเบญจพร สุนันท์ชัย เจ้าของร้านบอกกันมาว่า คนลาวก็เรียกก๋วยเตี๋ยวว่าเฝอเหมือนกัน และสูตรของทางร้านนี้ก็เอนเอียงไปทางลาวแท้ ๆ มากกว่าแบบเวียดนาม
ว่า กันตั้งแต่เรื่องเส้น ที่เห็นเป็นเส้นเล็กแบบเรา ๆ นี่ คนลาวเขาเรียกเส้นหมี่ ซึ่งทางร้านต้องสั่งตรงมาจากอำเภอท่าบ่อ ที่หนองคาย เป็นเส้นแห้ง ซึ่งต้องนำมาแช่น้ำ ม้วนไว้เป็นก้อน ๆ ใช้ผ้าคลุมไว้เก็บความชื้น เส้นจึงหนุบเหนียวกว่าแบบที่ลวกสุกมาก่อน
หาก เป็นที่ลาวคงหาหมูกินกันยากหน่อย แต่ทางร้านนั้นมีให้เลือกทั้งเนื้อและหมู “ชะอม” เห็นหลายคนเลือกสั่งของลวกแยกมาเป็นจาน ๆ อย่างพวกชอบเนื้อก็มีลูกชิ้นเนื้อ ผ้าขี้ริ้ว และเนื้อสด ที่ทางร้านบอกว่าต้องใช้เนื้อขาลายถึงจะได้ความอร่อยของคอเนื้อ ส่วนคนนิยมหมู ก็มีทั้งลูกชิ้น เนื้อ (หมู) สด หมูยอ ยกแยกมานั่งจิ้มกินกับน้ำจิ้มรสเอกลักษณ์อมเปรี้ยวหวานกันไม่หยุดหย่อน
ใคร ชอบผักแกล้มทางร้านมีให้กินกันไม่อั้น จัดแยกลงกระจาดกันตั้งแต่กะหล่ำปลี ถั่วงอก สะระแหน่ ผักน้ำซึ่งนำมาจากลาว พริกอ่อนที่อ่อนแต่ชื่อ แต่เผ็ดร้อนติดปาก และต้องลองกินกันแบบลาวแท้ ๆ ที่จิ้มกินกับกะปิ
น้ำ ซุปเฝอนี่เห็นใส ๆ แต่หวานหอมกระเทียมเจียวอยู่ไม่น้อย “ชะอม” บอกไว้ก่อน ใครกินไม่จุสั่งชามธรรมดาก็น่าจะอิ่มกันแล้ว แต่ใครกินจุหน่อยก็บอกเขาไปว่าเฝอใหญ่ ยังไม่รวมถึงเฝอจัมโบ้ ที่บางกลุ่มกินกันชามเดียวสามคน แล้วสั่งของลวกแยกมากินเสริม
ตบท้ายยังมีเมี่ยงลาว สูตร ลาวแท้ ๆ ข้ามฟากโขงมาให้ลิ้มชิมกันบนโต๊ะฝั่งไทย ใช้ผักกาดหอมแทนใบชะพลู เครื่องเมี่ยงนั้นยิบย่อยจนหยิบมาห่อกันสนุก ทั้งตะไคร้ซอย ผักชีลาว กล้วยตานีดิบฝาน ขิง มะเขือเทศ ข่าหั่น มะเขือพวง ขนมจีน แคบหมู พอห่อเป็นคำก็ตักน้ำจิ้มที่หอมกลิ่นปลาร้าราดลงไป เคี้ยวกร้วม ๆ กรอบผักและเอกลักษณ์ของอาหารเพื่อนบ้านกันในคำเดียว
ใครอยากลองอร่อยแบบ “ชะอม” ก็ตามมาอุดรฯ กันได้ ร้านเฝอลาวเขาเปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าไปถึงสี่ทุ่ม
ออกมาลองของอร่อยนอกบ้านนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ได้มาลองวัฒนธรรมเพื่อนบ้านที่ปนเปอยู่ในชามนี่น่าสนใจกว่า
จะได้รู้ว่าโลกไม่ได้มีทางเดินอยู่เพียงเส้นเดียว
ร้านเฝอลาว เลขที่ ๙๑/๕ ถนนอำเภอ ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุดรธานี

ล้างปากกับนาย “ชะอม”

ล้างปากฯ กันปิดท้ายทริปคราวนี้ก็ไม่เชิงล้างปากนัก ใครจะใช้เป็นมื้อเช้าก็ได้
จาก อุดรฯ เราเลยมายืนมองสายน้ำโขงไหลและฝั่งเวียงจันทน์ของลาวกันที่หนองคาย เมืองเล็กเปี่ยมบรรยากาศน่าหลงใหลในหัวใจของหลายต่อหลายคน
ที่ถนนประจักษ์ศิลปาคม ย่านคึกคักที่สุดของเมืองหนองคาย “ชะอม” ชวนตื่นเช้าไปร้านทานตะวัน ร้านไข่กระทะเก่าแก่ของคนหนองคาย ที่วันนี้ตกทอดมาสู่รุ่นลูกอย่างจริยา ไกรวีระเดชาชัย
ตึกแถวเก่าสามห้องที่ตกแต่งใหม่อย่างทันสมัยในโทนเขียวนั้น เปี่ยมไปด้วยของอร่อยสไตล์ญวนที่ตกทอดอยู่ในสายเลือดกันแต่เช้า
“คนหนองคายนี่เช้า ๆ กินของเบา ๆ อย่างไข่กระทะ ต้มเส้น กวยจั๊บ” พี่จริยาบอกหลังจากไข่กระทะสองฟองที่โรยหน้ามาด้วยหมูสับ พร้อมกับขนมปังฝรั่งเศสฝานกลางวางหมูยอและกุนเชียงมาหอมกรุ่นอยู่ตรงหน้า
ราด ซอสมะเขือเทศ เหยาะแม็กกี โรยพริกไทยให้หอม มื้อแรกกลางเมืองหนองคายก็เป็นเรื่องน่าประทับใจ ใครไม่อิ่มเติมขนมปังหน้าหมูที่ใช้ขนมปังทรงยาว ๆ แบบเดียวกันทำก็ไม่เลวนัก
ใคร ไม่หนักท้องสั่งสตูหมูรสกลมกล่อมมากินคู่กันก็ได้ จะได้อิ่มท้อง มีแรงเดินเล่นเมืองมากเสน่ห์แห่งนี้ในช่วงเช้า หรือเดินวนเวียนไปจนสาย ๆ กลับมากินข้าวแกงที่ทางร้านเข็นออกมาจากครัวก็ไม่ใช่เรื่องซ้ำซาก แกงเขียวหวานและแกงเผ็ดไก่นี่ตกทอดมาจากรุ่นแม่พี่จริยาเชียว “ตอนพี่เด็ก ๆ นี่ยายขายไข่กระทะ แม่ขายข้าวแกง ร้านนี้จึงมีชื่อต่อท้ายอีกว่าข้าวสวย-แกงไก่”
เฉพาะ ขนมปังนี่ถือเป็นไฮไลต์ของร้าน วันธรรมดาขายราว ๒๕๐ ชิ้น เสาร์-อาทิตย์ตกอยู่ ๓๐๐ ชิ้นหน่อย ๆ และที่ขายกันถึงเจ็ดแปดร้อยชิ้นนี่ทายกันดูว่าช่วงไหน
ก็ช่วงโด่งดังของหนองคายและแม่น้ำโขง กับงานบั้งไฟพญานาคตอนออกพรรษานั่นล่ะ
นึกถึงคำพูดพี่จริยาเจ้าของร้านที่ว่าเช้า ๆ คนหนองคายเขากินอาหารกันเบา ๆ แล้ว “ชะอม” ว่าน่ารัก
กินอาหารเบา ๆ ยืนมองแม่น้ำไหลเบา ๆ อยู่ในเมืองเล็กแสนเงียบสงบ
จากนั้นก็หลากไหลชีวิตไปเบา ๆ ตามทิศทางที่แต่ละคนเลือกเดิน
ร้านทานตะวัน
เลขที่ ๐๕๗ ถนนประจักษ์ศิลปาคม อำเภอเมืองฯ จังหวัดหนองคาย โทรศัพท์ ๐ ๔๒๔๖ ๐๓๔๙, ๐ ๔๒๔๑ ๑๒๓๕

บรรยายภาพ
ร้านเฝอลาว
เฝอทั้งหมูและเนื้อชามใหญ่บึ้ม สั่งเนื้อ ผ้าขี้ริ้ว มาจิ้มกินเล่นแกล้มแยกกันก็ได้
ร้านทานตะวัน
ของกินเบา ๆ ยามเช้า ทั้งไข่กระทะ สตูหมู ข้าวต้มปลา ร้านทานตะวัน จิบกาแฟไปด้วย ดูเมืองหนองคายไปด้วย เต็มบรรยากาศ



ອ້າງອິງ
http://www.moohin.com/thailand-travel-trips/2548-05/c13/

ฝอลาวอาหารเส้นข้ามฝั่งโขง

ฝอลาวอาหารเส้นข้ามฝั่งโขง พิมพ์
ถ้าใครผ่านไปผ่านมาบนถนนอำเภอ จะเห็นว่ามีร้านรวงมากมายซึ่งถือว่าเป็นย่านเศรษฐกิจ แห่งหนึ่งของอุดรธานี เป็นถนนเส้นหลักหล่อเลี้ยงชีวิตของคนอุดรธานีมานาน มีทั้งคลินิก ร้านขายผ้า ร้านคอมพิวเตอร์ แผงพระเครื่อง ร้านขายของเบ็ดเตล็ด และอื่นๆ อีกมากมาย มีร้านอาหารร้านหนึ่งที่สะดุดสายตาผู้ที่ผ่านไปมา คือ “ร้านเฝอลาว” ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 8.30-17.00 น. หากมาจากแผงพระเครื่องร้านจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ โดยร้านเฝอลาวนี้จะขายก๋วยเตี๋ยว

Image

คุณเอื้อน เหล็กลอย เจ้าของร้าน ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองไม่ได้เป็นผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ต้น แต่ตนมีความฝันว่าอยากจะมีกิจการเป็นของตัวเอง จึงได้เซ้งร้านต่อจากเจ้าของเดิมเพราะเห็นว่ามีลูกค้าเก่าอยู่มาก ประกอบกับสามีชอบมานั่งรับประทานบ่อยๆ

คุณเอื้อน เล่าอีกว่า ถึงแม้จะไม่เคยทำกิจการร้านอาหาร เพราะที่ผ่านมาเป็นแม่บ้านมาโดยตลอด แต่เพราะใฝ่ฝัน และลูกๆ เริ่มโตดูแลตัวเองได้แล้ว จึงอยากทำความฝันให้เป็นจริง

Image



ซึ่งร้านเฝอลาวมีต้นตำหรับมาจากชาวอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เมื่อมารับช่วงกิจการต่อ วัตถุดิบก็ยังคงมาจากอำเภอท่าบ่อ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งเป็นต้นตำหรับของเฝอลาว

“ในช่วงแรกไม่ค่อยดีนักรายได้เฉลี่ยต่อวันประมาณ 1,500–2,000 บาท ทางร้านจึงมีการปรับปรุงน้ำซุปให้มีรสชาติเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น”

โดย 6 เดือนที่มารับช่วงต่อมีรายได้ดี ลูกค้าเข้าร้านสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเวลาประมาณ 11.00–13.00 น. จะคับคั่งเป็นพิเศษ ลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป

Image

จุดเด่นของร้านเฝอลาว คือ นั่งสบาย ได้บรรยากาศ เนื้อที่นำมาปรุงคัดสรรจากเนื้อวัวอ่อนแท้ๆ (ไม่หมัก) สไลด์เองด้วยเครื่อง บาง สะอาด ลูกชิ้นเฝอลาวสั่งผลิตพิเศษคุณภาพดี ผักสะอาดเลือกทานได้ (หยิบเอง) ชามใหญ่ปริมาณมาก พริก และถั่วคั่วใหม่สดทุกวัน สะอาดถูกหลักอนามัย ราคาไม่แพง

สำหรับเมนูอาหารในร้าน ได้แก่ เฝอหมู, เฝอเนื้อ, เกาเหลา หมู/เนื้อ, ออเดิร์ฟ, เนื้อลวก, ลูกชิ้นลวก, ขี้ริ้วลวก, ลูกชิ้นเฝอลาว, ลูกชิ้นเฝอลาวจัมโบ้ โดยราคาปกติชามละ 30 บาท พิเศษหรือจัมโบ้ชามละ 50 บาท สำหรับผู้ที่ชื่นชอบลูกชิ้นเฝอลาวมีขายกิโลกรัมละ 120 บาท ลูกชิ้นเฝอลาวจัมโบ้ราคากิโลกรัมละ 140 บาท โดยเคล็ดไม่ลับของเฝอลาวอยู่ที่การปรุงด้วยน้ำซุปที่เข้มข้นสะอาดถูกหลัก อนามัย

Image

ในอนาคต คุณเอื้อนบอกว่า อยากจะขยายกิจการออกไปตามมุมเมืองต่างๆ รอบตัวเมืองอุดรธานีรวมทั้งอยากเปิดร้านตอนกลางคืน แต่ยังไม่พร้อมทั้งเรื่องของสถานที่และบุคลากร

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551

ທາດດຳ-ທາດຂາວ

ທາດດຳ ເປັນໄລຍະເວລາຫຼາຍສິບປີແລ້ວເປັນສີດຳຢູ່ຢ່າງນັ້ນ, ບໍ່ມີໃຜໄປປົວໄປແປງ ບໍ່ມີໃຜທາສີຄົນ ລາວສ່ວນໜຶ່ງກັບມາຈາກໄທຍ໌ ເພື່ອມາສ້າງວຽງຈັນ ກໍບໍ່ໄດ້ທຳການກໍ່ສ້າງ ແລະບູຣະນະສ້ອມແປງ ເພາະເປັນທີ່ດິນຂອງຄົນຝຣັ່ງ ຊືບັກໂຕໂລນີ(ຖະໜົນເສັ້ນນັ້ນຈຶ່ງມີຊື່ນັ້ນ) ພາຍລຸນມາຝຣັ່ງກໍຂາຍທີ່ດິນນັ້ນໃຫ້ສະຖານທູດອາເມຣີກາ ແຕ່ຄົນລາວຂະນະນັ້ນຂໍຮ້ອງບໍ່ໃຫ້ຂາຍດິນທີ່ເປັນສ່ວນພຣະທາດໃຫ້ແກ່ອາເມຣິກາ ທາດດຳນຶ່ງຢູ່ໃນເຂດສາທາລະນະ ຢ່າງໃດກໍຕາມເປັນເວລາຫຼາຍກວ່າຮ້ອຍປີ ທີ່ບໍ່ມີການບັນທຶກໄວ້ກ່ຽວກັບພຣະທາດດຳນັ້ນ ຄົນທັງຫຼາຍເຫັນວ່າມີສີດຳ ກໍພາກັນຮຽກທາດດຳມາຮອດບັດນີ້ ທີ່ຈຶງແລ້ວທາດດຳແລະບໍຣິເວນໂດຍຮອບແຕ່ຖະໜົນລ້ານຊ້າງ ຖນົນເສດຖາ ແລະສຫ້ອງການຕຳຫຼວດທາດດຳ ແລະສະຖານທູດອາເມຣິກາລ້ວນແຕ່ແມ່ນບໍຣເວນວັດ ທີ່ມີຊື່ວ່າ "ວັດພຣະຣາດຊະນັດດາ"ທີ່ພຣະເຈົ້າໃຊເສດຖາທິຣາດສ້າງອທິດໃຫ້ຫຼານສາວຂອງພຣະອົງ, ຂໍ້ທີ່ບັນດາທ່ານທີ່ຢູໃນບໍຣິເວນນັ້ນຄວນຄຳນືງຄື ຫາກມີວັດຕ້ອງມີສີມ ສິມສ່ວນໃຫຍ່ມັກຈະສ້າງໄວ້ດ້ານຂ້າ ແລະດ້ານຫຼັງຂອງສິມ ສະນັ້ນການປຸກເຮືອນຫຼືສ້າງອາຄານຄວນລະວັງ ຢ່າງໃຫ້ກວາມສີມກະແລ້ວກັນ ທິດໃດທີ່ຄວນຈະເປັນທີຕັ້ງຂອງສີນັ້ນ ຄື ໑ ທິດຕາເວັນອອກ ເພາະການສ້າງສິມມັກປິ່ນໜ້າໄປຕາເວັນອອກ ເໝືອນວັດເພັຍວັດ, ວັດຊຽງຍືນ, ວັນອົງຕື້, ອິນແປງ, ວັດມີໄຊ ແລະວັດຊຽງຍືນ ຫາກເປັນເຊັ່ນນັ້ນສີກໍຄວານຢູ່ຂ້າງທາດດຳໄປທາງຖນົນລ້ານຊ້າງ ເພາະທາດ ຫຼືພຣະທາດຈະຢູ່ດ້ານຫຼັງຂອງສີສະເໝີ ຫຼືບໍດັ່ງນັ້ນສີກໍຈະປີ່ນໜ້າລົງນ້ຳຂອງ ເຊັ່ນວັດສີສະເກດ ວັດທາກຫຼວງໃຕ້, ວັດທາດຫຼວງເໜືອ ແລະວັດໂພນໄຊ, ດຽວນີ້ບໍ່ມີໃຜເອົາໃຈມໃສ່ເບິ່ງແຍງ ຖ້າເປັນເຊັ່ນນັ້ນ ກໍບໍ່ເຫິງດອກພຣະທາດແຫ່ງຈະເພພັງລົງ, (ເພາະບໍ່ມີຫຍັງໝັ້ນຄົງເລີຍແມ່ນແຕ່ຢ່າງໜຶ່ງ) ເວົ້າເຖິງທາດດຳ ກໍບໍ່ເວັ້ນທີ່ຈະກ່າວເຖິງທາດຂາວ. ທາດຂາວນັ້ນກໍຢູ່ວັດທາດຂາວນັ້ນແລ ແຕ່ບໍ່ໄດ້ມີການທາສີ ກໍກາຍເປັນສີດຳໄປແລ້ວດີແຕ່ມີການຮຽກວາທາດຂາວມາກ່ອນ ເຖິງວ່າດຳກໍຮຽກວ່າຂາວມາຮອດບັດນີ້.
- ຂ້ໍຄວນສຶກສາ ແບະອາໃຈໃສ່ນັ້ນ ປະຊາຊົນຈະປຸກເຮືອນ ຄວານຈະຄຳນຶ່ງສະເມີວ່າຢ່າປຸກກວາມທາດ ແລະສີມເກົ່າ ຈະເກີດຄວາມບໍ່ດີມີສຸກແກ່ເຈົ້າຂອງບ້ານເຮືອນ ຫາກຫຼີກລຽງບໄດ້ຄວນສູດຖອດສູດຖອນກ່ອນ.

ຄວາມໝາຍຂອງຄອນພຣະເພງ ແລະຫຼີ່ຜີ


ບ້ານເກີດຢູ່ທາງເມືອງໂຂງ ເມືອງມຸນພຸ້ນ……………
ເຫັນທ່ານຖາມເຣື່ອງວ່າ “ຄອນພະເພັງ ກັບຫຼີຜີ” ກໍຢາກຊີ້ແຈງຖະແຫຼງຂານ
ເພື່ອໃຫ້ບັນດາທ່ານເຂົ້າໃຈ ທີ່ຕັ້ງ ສະຖານທີ່ ຊື່ ແລະ ຄວາມໝາຍ ຈະຕອບ ແລະ ອະທິບາຍໃຫ້ທ່ານ ແລະ ສະມາຊິກອິນລາວໃຫ້ຮູ້ ດັ່ງຕໍ່ໄປນີ້:
1. ອັນວ່າ ຄອນພຣະເພງນັ້ນ ມີຄົນເຂົ້າໃຈວ່າແມ່ນທີດຽວກັນ, ທີ່ແທ້ ຄອນພຣະເພງບໍ່ແມ່ນທີ່ດຽວກັນກັບຫຼີ່ຜີ ເພາະຄອນພຣະເພງ (ແມ່ນຮູບທີ່ເອົາມາໂຊວ໌ນັ້ນ) ຢູ່ຝັ່ງຕາເວັນອອກຕິດກັບຝັ່ງເມືອງ ດ້ານໜຶ່ງຕິດກັບດອນ ຊື່ດຽວກັນ(ດອນພຣະເພງ) ສ່ວນຫຼີ່ຜີນັ້ນຢູ່ຝັ່ງດ້ານຕາເວັນຕົກຂອງດອນພຣະເພັງນັ້ນ ແຕ່ຢູ່ລະຫວ່າງດອນ ເດດກັບດອນຄອນ(ສ່ວນຢູ່ລະຫວ່າງດອນເດດກັບດອນຄອນນັ້ນເຂົາຮຽກວ່າ ແກ້ງປັກຕູເມືອງ, ຫາກນັກທ່ອງທ່ຽວຢາກໄປທ່ຽວທີ່ນັ້ນແມ່ນຕ້ອງໄດ້ຂີເຮືອໄປ ລົງເຮືອທີ່ບ້ານນາກະສັງ.
2. ສ່ວນທີ່ທ່ານຢາກໃຫ້ອະທິບາຍນັ້ນ ຈະອະທິບາຍດັ່ງນີ້
ກ. ຄອນພຣະເພງ ຊາວທ້ອງຖີ່ນຈະຈະຮຽກອອກສຽງວ່າ “ເພງ” ບໍ່ໄດ້ອອກສຽງ “ເພັງ” ເພາະຄວາມໝາຍທີ່ແທ້ຈິງ ມີທີ່ມາຢ່າງນ້ອຍສອງທາງ, ອິງຕາມຄວາມເປັນຈິງຕາມຮູບສັບຣະຫວ່າງ “ເພັງ” ກັບ “ເພງ” ມີທີມາດັ່ງນີ້:
- ຄຳວ່າ “ເພັງ” ໝາຍຄວາມວ່າ “ເຕັມ” ຫຼື “ຮຸ່ງ” ຫຼື “ແຈ້ງ” ເຊັ່ນ “ເດືອນເພັງແຈ້ງ ແສງສ່ອງເຮືອງໃສ ຍາມຣາຕຣີ ສິວິໄລຮຸ່ງເຮືອງສະເທືອງຟ້າ” ສະນັ້ນຄຳວ່າ “ພຣະ” ມາຈາກພາສາປາລີວ່າ “ວຣ” ແປງວ່າ “ປະເສີດ, ດີ” ແລ້ວແປງ “ວ” ໃຫ້ເປັນ “ພ” ຈຶ່ງໄດ່ ຄຳວ່າ “ພຣ” ໃນພາສາປາລີສຣະ “xະ” ຈະບໍ່ມີຮູບ ໃນອັກສອນທຸກຕົວ ຍ່ອມມີສຣະ “xະ” ຕິດພັນຢູ່ນຳສະເໝີ ດ້ວຍເຫດນັ້ນ ເມື່ອມາຂຽນເປັນພາສາລາວແລ້ວ ຈຶ່ງຕ້ອງເອົາສຣະ “xະ” ມາຂຽນໄວ້ຫຼັງ ຈຶ່ງອ່ານວ່າ “ພຣະ” ແລະ ແລ້ວຄອນນີ້ ຈຶ່ງມີຊື່ວ່າ “ພຣະເພງ” (ມີທີ່ມາຈະອະທິບາຍໃນຄວາມເປັນມາຂອງຊື່” ເມື່ອຊາວເໜືອໄປເຫັນເຂົ້າ ກໍຮຽກວ່າຄອນພະເພັງ, ເພາະຄົນທາງເໜືອ ເມື່ອຂຽນ “ເພງ” ຈະຂຽນວ່າ “ເພັງ” ຈຶ່ງຊື່ວ່າ “ເພັງ” ຂຽນບໍ່ຖືກຕາມຄວາມໝາຍເດີມຂອງ ຊື່ຂຽນແຫ່ງນີ້.
- ທີ່ມາ ແລະ ຄວາມເປັນມາຂອງຊື່ “ຄອນພຣະເພງ” ນັ້ນມີທີ່ມີສອງກະແສດັ່ງນີ້ ຄື:
2-1. ຄອນພຣະເພງ ທີ່ຊາວໂລກໃຫ້ສັນຍານາມວ່າ “ແອງກລາຕາເວັນອອກ” ນີ້ ເມື່ອກ່ອນຈະມີສຽງດັງ ກ້ອງກັງວານໄກໄປຮອດຈຳປາສັກ ແລະ ພູພຽງບໍຣິເວນ, ທາງຕາເວັນອອກດຮອດສາຍພູແດນແກວ, ທາງໃຕ້ຮອດກະແຈະ, ທາງຕາເວັນຕົກຮອດເມືອງຕ່ຳ,(ສຸຣິນ) ເພາະມີຄຳໜຶ່ງ ທີ່ເດັກນ້ອຍທາງໃຕ້ອາຍຸ 40-50 ປີ ມັກເວົ້າຄຳກ່ອມລູກວ່າ “ຮອດມາຕ່ຳເຮົາໄດ້ກິນປາ ຮອດເມືອງລາເຮົາໄດ້ກິນເຂົ້າ” ມີຄຳກ່າວອີກຄຳໜຶ່ງວ່າ “ເມື່ອຊາວສີພັນດອນໄປພູພຽງບໍຣິເວນ ຫາກຢາກຮູ້ວ່າສີພັນດອນຢູ່ທີ່ໃດ ຂຶ້ນຕົ້ນໄມ້ຈະຍິນສຽງຄອນພຣະເພງດັງ ກໍຈາມາຍັງສີພັນດອນຖືກ” ສຽງນີ້ດັງຕລອດຍາມແລ້ງ ແລະ ຝົນ, ຈົນມາຮອດສະໄໝຝຣັ່ງເຂົ້າມາປົກຄອງລາວ ພວກເຂົາຈະລ່ອງໄມ້ສັກຈາກບໍ່ແກ້ວ ໄຊຍະບູຣີດ້ວຍເພຕາມລຳແມ່ນ້ຳຂອງ ລົງໄປທະເລຈີນໃຕ້ ເມື່ອໄປຮອດທາງດອນຄອນແລ້ວ ເຂົາຈະປ່ອຍແພລົງແກ້ງ ແຕ່ຈະບັງຄັບໃຫ້ແພໄມ້ສັກໄປທາງດອນເດດ ແລະ ດອນຄອນ ແຕ່ມາມີແພໄມ້ສັກຂະບວນໜຶ່ງໄດ້ໄຫລໄປທາງຕາເວັນອອກ ເລີຍໄປຕົກທາງຄອນພຣະເພງ ແລະ ແລ້ວຄອນໄມ້ລັກຈຶ່ງໄປຕົກຖືກລິ້ນຄອນພຣະເພງນັ້ນ ແຕ່ນັ້ນມາສຽງເພງແຫ່ງຄອນພຣະເພງນັ້ນ ກໍບໍ່ດັງເລີຍແຕ່ບັດນັ້ນ, ແຕ່ວ່າໃນປັຈຈຸບັນນີ້ ສຽງຄອນພຣະເພງຈະດັງສະເພາະຍາມຝົນ ເວລາ 3-4 ໂມງໃກ້ຊິແຈ້ງ ຈະດັງຮອດເມືອງໂຂງ, ເມືອງແສນ, ຂະເໝົາ ຖ້າໃຜໄປທາງສີພັນດອນຍາມນັ້ນ ກໍໃຫ້ສັງເກດເບິ່ງ ຜູ້ກ່ຽວຢັ້ງຢືນ ເພາະບ້ານເກີດຢູ່ແຖວຂະເໝົາເມືອງແສນ, ສະນັ້ນ ຄຳວ່າຄອນພຣະເພງ ນັ້ນມີທີ່ມາຈາກ ສຽງຄອນພຣະເພງ ດັງເໝືອນສຽງເພງຈາກສະຫວັນ, ໝາຍຄວາມວ່າສຽງເພງທີ່ປະເສີດນັ້ນເອງ.
2-2. ກະແສງທີສອງນີ້ ຄືວ່າ ບໍ່ວ່າຍາມແລ້ງ ແລະ ຍາມຝັນສຽງຄອນພຣະເພງກໍດັງເໝືອນສຽງເພງ ຮອດບັດນີ້ ບໍເຊື່ອລອງໄປເບິ່ງ, ເພາະແຖວນັ້ນເມື່ອກ່ອນເປັນປ່າສົມບູນ ມີສັດສາວາສິ່ງຮ້ອງຂັບຂານ ກ່ອມກັບສຽງນ້ຳຕົກຕາດ ເລີຍກາຍເປັນສຽງເພັງເໝືອນດັງສວາງສວັນຄ໌.

ສ່ວນຄຳວ່າຫຼີຜີນັ້ນ ມີທີມາ ແລະ ຄວາມໝາຍ 4 ກະແສ ດັ່ງນີ້ຄື:
3-1. ກະແສງທີໜຶ່ງ ມາຈາກໜັງສືພຣະລັກພຣະຣາມ ອັນເປັນວັນນະກັມເອກຂອງລາວ, ເຣື່ອງໜຶ່ງ ດຽວນີ້ ຊອກຫາອ່ານຍາກ ແຕ່ມີສະບັບພາສາລາວ ທີ່ຂ້າພຣະເຈົ້າມີໄວ້ ທັງສອງເຫັ້ຼມເລີຍ, ມີເຣື່ອງຣາວດັ່ງນີ້,
“ເມື່ອພຣະລັກພຣະຣາມ ໄດ້ນາສີດາກັບມາແລ້ວ, ກໍເດີນທາງກັບມາຍັງເມືອງ ເມື່ອມາຮອດສະຖານທີ່ ແຫ່ງໜຶ່ງ ບໍຣິເວນມະຫານະທີສີທັນດອນ(ສີທັນຕະຣະ) ທີ່ນັ້ນບໍ່ມີດອນຈັກດອນເລີຍ ເປັນວັງນ້ຳທີ່ກວ້າງ ຮຽກວ່າສະໝຸດ, ພໍດີເວລາໃກ້ຄ່ຳ ຈຶ່ງຈະພັກນອນແຮມຄືນ ພຣະລັກເຫັນວ່າຖ້ານອນທີ່ຝັ່ງກໍຢ້ານບໍ່ມີຄວາມ ປອດໄພ ພຣະລັກຈຶ່ງຍິງສອນລົງໄປຍັງມະຫານະທີສີທັນດອນ ແລະ ປາຖໜາໃຫ້ເປັນດອນ ຈຶ່ງເກີດມີດອນ ໜຶ່ງຂຶ້ນມາ ພຣະລັກຈຶ່ງເຊີນພຣະຣາມ ແລະ ນາງສີດາໄປນອນ ທີ່ປສາດນິມິດໃນດອນນັ້ນ, ໃນຂະນະນັ້ນເອງ ລາບພຣະນາສວນ ເມື່ອຮູ້ວ່າພຣະຣາມມາຕາມເອົານາງສີດາກັບຄືນແລ້ວ ກໍຕິດຕາມມາ ຈຶ່ງມາທັນທີ່ມະຫານະທີສີທັນດອນນັ້ນ ຈື່ງເກີດສົງຄາມຂຶ້ນທີ່ນັ້ນ, ຝ່າຍພຣະລັກຢູ່ທາງເໜືອ ສ່ວນລາຍພຣະນາສວນຢູ່ທາງໃຕ້ ສົງຄາມຣະຫວ່າງລາບພຣະນາສວນ ກັບພຣະລັກພຣະ ຣາມຈຶ່ງເກີດຂຶ້ນທີ່ນັ້ນ.
ທາງຝ່າຍລາບພຣະນາສວນຈຶ່ງແຕ່ງໃຫ້ຄຸດ ແລະ ນາກກໍ່ກຳແພງຂຶ້ນຕັນແມ່ນ້ຳ ເພື່ອຫວັງຈະໃຫ້ນ້ຳນັ້ນຖ້ວມດອນ ແຕ່ຍ້ອນອິດທິຣິດຂອງສອນ ເຖິງວ່ານ້ຳຈະຖ້ວມຫຼາຍພຽງໃດກໍຕາມແຕ່ວ່າ ນ້ຳບໍ່ສາມາດຖ້ວມດອນນັ້ນໄດ້ດ ແຕ່ວ່ານ້ຳຈະຖ້ວມບໍຣິວານຂອງພຣະລັກພຣະຣາມ ແລະ ປະຊາຊົນ ພຣະຣາມຈຶ່ງສັ່ງໃຫ້ ຫະນຸມານ ໄປມ້າງກຳແພງຫີນເປັນຊ່ວງໆ ຄົນທັງຫຼາຍຈຶ່ງຮຽກວ່າ “ຫຼີ່” ຫະນຸມານນັ້ນ ໄປເຫັນນາງມັຈສາ ງາມຫຼາຍ ຈຶ່ງໄປກ້ຽວພາລາສີ ຈຶ່ງເຮັດໃຫ້ຫະນຸມານບໍ່ສາມາດມ້າງກຳແພງຫິນຕັນນ້ຳນະທີໄດ້ ຈຶ່ງເຮັດໃຫ້ສະຖານທີ່ນັ້ນ ເປັນຄອນທ້າງຕັນນ້ຳຂອງຮອດບັດນີ້.
ໃນຂະນະນັ້ນເອງ ການສົງຄາມຍັງດຳເນີນໄປຢ່າງຮຸນແຮງເຮັດໃຫ້ບໍຣິວານຂອງທັງສອງຕາຍຕົກລົງນ້ຳ ໄຫລໄປເປີະຫຼີ່ຫີນນັ້ນເໝັ້ນສະເອືອນ ຄົນທັງຫຼາຍຈຶ່ງຮຽກວ່າ “ຫຼີຜີ” ແຕ່ບັດນັ້ນມາ, ສ່ວນດອນຕ່າງໆ ທີ່ມີຫຼາຍກວ່າພັນດອນໃນເຂດນັ້ນ ກໍເກີດຈາກອຳນາດອິດທິຣິດຂອງລາບພຣະນາສວນ ໄດ້ໄປຂົນເອົາພູ ແລະ ຫີນມາໂຍນໃສ່ພຣະລັກພຣະຣາມ ກໍປ້ອງກັນດ້ວຍອິດທິຣິດ ໄປຕົກລົງນ້ຳ ກໍກາຍເປັນດອນ ຕົກລົງດິນ ກາຍເປັນພູ ສະນັ້ນ ທີ່ດອນໂຂງຈຶ່ງມີພູຫຼາຍເຖິງ 99 ໜ່ວຍພູ(ຕາມການເລົ່າຂານກັນ)

3-2. ກະແສທີສອງ ແມ່ນມີເນື້ອຄວາມຕາມເລົ່າຂານຂອງຊາວທ້ອງຖິ່ນ ແລະ ອິງຕາມຄວາມເປັນຈິງທາງພູມສາດກາຍະພາບ, ທີ່ບໍຣິເວນທີເປັຣຫຼີ່ຜີນັ້ນ ເປັນຕາດເປັນຄອນຫຼາຍຄ້າຍຫຼີ່ ເມື່ອຄົນຕາຍຕົກນ້ຳ ຫຼືສັດຕາຍຕົກນ້ຳໄດ້ໄຫຼໄປເປີະຫຼີ່ຕາດຄອນທີ່ນັ້ນ ຊາວພື້ນເມືອງຈຶ່ງຮຽກທີ່ນັ້ນວ່າ ຫຼີ່ຜີ, ອັນນີ້ຢືນຢັນໄດ້ສະໄໝຍັງນ້ອຍມີຄົນຕາຍຕົກນ້ຳ ຢູ່ທາງດອນເໜືອ ຫາຄາບໍ່ໄດ້ ຊາວບ້ານຈຶ່ງພາກັນໄປຫາທີ່ແຖວຫຼີ່ຜີດກໍເຫັນສົມປະສົງ.
3-3. ອິງຕາມ ວັດທະນະທັມໃນບຣິເວນນີ້ ຈະເຮັດຫຼີ່ເພື່ອຕັນເອົາປາ ແຕ່ມີສັດ ແລະ ຄົນຕາຍດິກນ້ຳ ໄຫຼໄປເຂົ້າຫຼີ່ ຄົນຈຶ່ງຮຽກວ່າ “ຫຼີຜີ”
3-4. ອິງຕາມວັດທະນະທັມເຊັ່ນກັນ ຊາວດອນແຖວນີ້ ເຮັດຫຼີ່ເອົາປາ ປາທີ່ຂຶ້ນມາເຂົ້າຫຼີຕ້ອງຕາຍເປັນຜີທຸກຕົວ ເວັ້ນເສັຍແຕ່ເອົາບໍ່ໝົດແລ້ວ ຈຶ່ງປ່ອຍລົງນ້ຳຄືນ (ເມື່ອ 10-15 ປີຄືນຫັຼງ ມີປະເພນີວ່າ ຖ້າຫຼີ່ໃດເອົາປາບໍ່ໝົດໃນຫຼີ່ຂອງຕົນກໍໃຫ້ຮ້ອງຖາມຄົນອື່ນວ່າຊິເອົາບໍ ? ຖ້າບໍ່ມີໃຜເອົາໃຫ້ປ່ອຍລົງນ້ຳຄືນ)

ຄວາມໝາຍກໍເປັນດັ່ງນີ້ແລ ຂໍ້ໃດສົມເຫດຜົນກວ່າກັນກໍເອົາຂ້ໍນັ້ນເທີ້ນ, ໃຜມີຄວາມເຫັນເພີ່ມຕື່ມກໍຕື່ມໃຫ້ດ້ວຍ
ຂອບໃຈ/ຮັກແພງ

วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2551

ຕ້ອງສ້າງຄວາມສຸກໃນໂລກ ແລະສຸກນອກໂລກໃນຊາດນີ້

ຄຳວ່າ "ສຸກ" ທີີ່ມະນຸດໃຊ້ກັນນີ້ ມັນຊື່ດຽວກັບສຸກສຸດຍອດ ການຕີຄວາມໝາຍແຫ່ງຄວ່າສຸກ ຕ້ອງເລືອກເຟັ້ນແລ້ວເຂົ້າໃຈມັນ, ຫາກບໍ່ແຍກສຸກແຕ່ລະສຸກອອກຈະແຈ້ງ ທາງລັກສະນະຂອງພາສາມະນຸດ ທີ່ບັນຍັດໃຊ້ກັນແລ້ວ ມັນຈະເຮັດໃຫ້ເຮົາເຂົ້າໃຈສຸກໆ ເປັນເຣື່ອງແຄບໆ ສະນັ້ນ
ຕ້ອງໃຫ້ມະນຸດທຸກຄົນເຂົ້າໃຈເຣື່ອງຄວາມສຸຂສອງທາງ ຄື ສຸກທາງໂລກ(ໂລກີຍະສຸກ) ສຸກສຸດຍອດ(ໂລກຸດຕະຣະສຸກ) ຖ້າໃຜບໍ່ສາມາດທີ່ຮູ້ເຣື່ອງຄວາມສຸກ ແລະຄວາມເຂົ້າໃຈເຣື່ອງສຸກທັງສອງທາງ , ກໍເປັນໄປໄດ້ຢາກທີ່ຈະຜ່ານພົ້ນໄປສູ່ໂລກຸຕະຣະສຸກໄດ້, ສຸກໃນໂລກນີ້ອັນທີ່ເຈືອປົນໄປດ້ວຍກາມະສັນທະ ແລະກິເລດກໍບໍ່ແມ່ນສຸກໃນຂັ້ນໂລກຸດຕະຣະທີ່ແທ້ຈິງ, ສະນັ້ນຄົນບາງຄົນຕ້ອງເຂົ້າໃຈຄວາມສຸຂ ທີ່ແທ້(ສຸກທີ່ບໍ່ເຈືອປົນດ້ວຍອາສາວະ) ຫາກສາມາດກ້າວກະໂດດໄປສູ່ ອັຕຖັງຄິກະມັກໄດ້ນັ້ນ ບຸກຄົນນັ້ນກໍແມ່ນຕົກຢູ່ໃນ ໂລກຸດຕະຣະສຸກ ແລ້ວກໍຈະມີຫົນທາງກ້າວເຂົ້າ ສູ່ໂລກຸດຕະຣະສຸກໃນອນາຄົດ ຫຼືຊາດຕໍ່ໆໄປ ຕ້ອງສ້າງປາຣະມີໄປເລື້ອຍໆ ຫາກປາຣະມີພຽງພໍກໍຈະກ້າວເຂົ້າສູ່ສຸກອັນສຸດຍອດນັ້ນໄດ້ໃນບໍ່ຊ້າ ທັງນີ້ທັງນັ້ນ ການສະແຫວງຫາເສັ້ນທາງຂອງຄວາມສຸກໃນຂັ້ນໂລກນີ້ ຜູ້ສະແຫວງຕ້ອງມີປັນຍາພໍ ທີ່ຈະຮັບຮູ້ເສັ້ນທາງນັ້ນ ຖ້າບຸກຄົນຍັງບໍ່ສາມາດ ຕີຣາຄາ ແລະແຍກສຸກແທ້ໃນຂັ້ນໂລກຸດຕະຣະສຸກ ກັບສຸກປອມ(ສຸກທີ່ເຈືອປົນດ້ວຍອາສາວະ)ອອກຈາກກັນໄດ້(ສຸກແທ້ຄືສຸກທີ່ປາດສະຈາກກາມສັນທະ ແລະກິເລດ, ສ່ວນສຸກປອມແມ່ນເຕັມໄປດ້ວຍກາມະສັນທະ ແລະກິເລດ) ບໍ່ສາມາດທີ່ຈະບັນລຸໃນຄວາມສຸກປອມໆນັ້ນໄດ້ເລີຍ, (ສຸກປອມໆກໍຕ້ອງຈຳເປັນຕ້ອງໄດ້ຮັບ ເມື່ອຮັບແລ້ວກໍຕ້ອງຮູ້ວ່າມັນປອມ)ຖ້າບຸກຄົນບໍ່ລ່ວງພົ້ນສຸກປອມໆໄປກ່ອນແລ້ວ ຢ່າຫວັງຄວາມສຸກສຸດຍອດໃນໂລກນີ້ໄດ້, ຕາມະນຸດນີ້ເປັນຂອງຫຍາບໆ ມອງໄດ້ແຕ່ວັດຖຸ ຖ້າມະນຸດສາມາດມອງດ້ວຍຕາເບື້ອງໃນໄດ້ຢ່າງເລີກເຊິ່ງ ມອງທັງວັດຖຸທັມ ແລະນາມທັມໄດ້.
ຈິງຢູ່ມະນຸດຜູ້ຍັງວຽນວາຍຕາຍເກີດໃນໂລກນີ້ ຕ້ອງການປັດໄຈ ໔ ເພື່ອປະທັງຊີວິດ ຄື
໑. ກິນ(ເພາະຢາກ),
໒. ໜາວ, ຮ້ອນ ແລະໜ້າກຽດໜ້າອາຍ(ເພາະສາພະທີ່ມັນເປັນ)
໓. ນອນແລະຢູ່(ອັດຕາພາບ)
໔. ມະນຸດຕ້ອງເຈັບເປັນ(ອັດຕະພາບ)
ສະນັ້ນມະນຸດຜູ້ຢູ່ໃນໂລກຕ້ອງຫາອາຫານ, ເນື່ອງນຸ່ງຫົ່ມ, ທີ່ຢູ່ອາໄສ ແລະເພຊັດ, ແມ່ນມະນຸດຜູ້ຫວັງພຽງສຸກຫຍາຍໆ ກໍສະແຫວງຫາສິ່ງເຫົ່ານີ້ຢູ່ ຫາກເຂົາຕັ້ງປະນິທານສະແຫວງສິ່ງຫຍາຍໆ ເຂົາກໍໄດ້ແຕ່ສິ່ງຫຍາຍໆນັ້ນ, ສຳລັບມະນຸດຜູ້ຫວັງຄວາມສຸກສຸດຍອດ "ໂລກີຍະສຸກ" ເຂົາກໍຈະໄດ້ຄວາມສຸກສິ່ງທີ່ສຸດຍອດໃນໂລກນີ້ ແລະຍັງສາມາດໄດ້ຮັບສຸກ ທີ່ສຸດຍອດໃນໂລກອື່ນທີ່ດີກວ່າ ຫຼືສຸກທີ່ຮຽກວ່າ "ສຸກເໜືອໂລກ" ຄົນທີ່ສະແຫວງຫາແລ້ວເຊິ່ງໂລກີຍະສຸກ ກໍຈຳເປັນຕ້ອງສະແຫວງຫາ ປັດໄຈ ໔ ນັ້ນຢູ່(ຫາກຍັງຢູ່ໃນໂລກ) ພຣະສົງເອງພຣະພຸດທະອົງກໍຕ້ອງສະແຫວງຫາປັດໄຈ ໔ ດັ່ງທີ່ເຮົາພົບໃນບົດສູດ "ປັດຈະເວກຂະນະວິທີນັ້ນ" ແຕ່ວ່າ ເມື່ອໄດ້ແລ້ວ ຕ້ອງຮູ້ຈັກພິຈາຣະນາ ແລະເກື້ອກູນປະປະໂຫຍດ ທີ່ເກີດນັ້ນ ເປັນໄປເພື່ອການລະ ແລະການຄາຍໆ ສະນັ້ນ.
ພຣະສົງຜູ້ສະແຫວງຫາປັດໄຈ ໔ ນັ້ນ ແມ່ນຕ້ອງໄດ້ເຂົ້າໃຈເຖິງເຈຕະນາຂອງປະຕິປະທາທີ່ກະທັມອັນຮຽກວ່າ "ກັມ" ນຳ ຖ້າກັມໃດຂອງເຫຼົ່າກໍສະມະນະໃດ ເປັນໄປເພື່ອຄວາມລະແຫ່ງຕົນ ແລະເກືອກູນຕໍ່ສັງຄົມໂລກແລ້ວ ກັມນັ້ນຮຽກວ່າກັມດີ, ຫາກກັມໃດຂອງເຫຼົ່າກໍສົງໃດເປັນໄປເພື່ອ ຄວາມພອກພູນແຫ່ງກິເລດຂອງຕົນ ແລະເກີ້ອກູນຕໍ່ສັງຄົມໂລກແລ້ວ ກັມນັ້ນບໍ່ຊອບໂດຍເຫດ, ບໍ່ຊອບໂດຍຜົນ ແລະບໍ່ຊອບໂດຍທັມ, ກັມນັ້ນ ຄືກັມຊົ່ວ ກັມ ຄືການງານຍ່ອມສະແດງເຈຕະນາ.
ທັງນີ້ທັງນັ້ນ ການຈະສະແຫວງຫາທັມ ຫຼືເສັ້ນທາງແຫ່ງທັມນັ້ນມັນຕ້ອງໄດ້ໃຊ້ຫຼາຍວິທີທາງ ທີ່ເໝາະກັບຕົນ ພື້ນເພແຫ່ງຈິດຕົນ ໂດຍສະເພາະສັດທາ ແລະປັນຍານັ້ນເໝາະສົມກັນ ໂດຍເອົາຫຼັກທັມໃດໆກໍໄດ້ ຈະເຣີ່ມຈາກສັນທະ ວິຣິຍະ ຈິດຕະ ວິມັງສາ ກໍໄດ້, ຫຼືຫຼັກທັມໃດ ທີ່ເປັນສິ່ງເກື້ອໜູນຊີວິດຈິງໄດ້ ແຕ່ຢ່າລືມວ່າ ສັດທາເປັນເບື້ອງຕົ້ນ ແລະປັນຍາເປັນສິ່ງຕາມຜັນຂະຫຍາຍ ກັມຂອງມະນຸດ ໃຜໆໃຫ້ສັດທາ ແລະປັນຍາໄດ້ດີ ທັມອື່ນກໍເກີດ ເສັ້ນທາງແຫ່ງສຸກອັນແທ້ຈິງຕ້ອງສຳເຣັດ, (ທັມທຸກຢ່າງເກີ້ອໜູນກັນ)

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2551

ຊີວິດທີ່ເປັນແກ່ນສານ(ชีวิตที่เป็นแก่นสาน)

ສັບພະຊີວິດຍ່ອມມີຄວາມສາດຢືນຢູ່ບົນໜ້າໂລກອັນນີ້ໄດ້, ຍ່ອມມີເຫດ ແລະປັດໄຈເກື້ອກູນກັນ ບໍ່ວ່າຈະເປັນຄົນທຸກ ຮັ່ງ ແລະຜ້ານກາງ ຫຼືບັນດາຊັ້ນຄົນໃນສັງຄົມ ລ້ວນແຕ່ມີຄວາມສະເໝີພາກ ໃນຄວາມເປັນຜູ້ມີຊີວິດ ທີ່ເຕັມປ່ຽມໄປດ້ວຍ ຄວາມຫວັງ, ຄວາມຫວັງຂອງສັບພະຊີວິດ ຍ່ອມຕັ້ງຢູ່ໃນມະໂນຄະຕິຂອງໃຜຂອງລາວ, ເຈດຕະນາຂອງເຂົາ ຍ່ອມມີຄວາມເປັນເອກະລາດ ທີ່ບໍ່ມີພະລັງອຳນາດໃດ ຈະມາບັງຄັບບັນຊາໄດ້ ເວັ້ນເສັຍແຕ່ເຂົາເອງເປັນຜູ້ຍິນຍອມ ຫຼືຈຳຍອມໃຫ້ພະລັງອຳນາດອื่ນເຂົ້າມາຄອບຄອງມະໂນເຈດນາ ແລະຄວາມມຸ້ງຫວັງຂອງເຂົາເອງ, ຖ້າເຂົາຍອມຮັບ ໃນຄວາມເປັນຜູ້ຢູ່ພາຍໃຕ້ພະລັງຄວາມຄິດອື່ນ ດ້ວຍທີ່ເຂົາເອງອາດບໍ່ຮູ້, ບໍ່ເຂົ້າໃຈ ແລະບໍ່ເປັນສິ່ງທີ່ສາມາດຮັບຮູ້ເອງໄດ້ ເຂົານັ້ນກໍຈັກເປັນແຕ່ງພຽງຕົ້ນໄມ້ທີ່ຕາຍທັງຢືນ ຫຼືຕົ້ນພ້າວ ຕົນຕານທີ່ຍອດກຸດເທົ່ານັ້ນ ບໍ່ມີວັນທີ່ຈະຟື້ນຄືນມາໄດ້ ເລີຍແມ່ນແຕ່ໃນປັດຈຸບັນ ອານາຄົດ ຄວາມເປັນແກ່ນສານຂອງເຂົາ ຈະເຣີ່ມຕົ້ນຈາກຈຸດໜຶ່ງ ແລະຈະໄປສິ້ນສຸດອີກຈຸດໜຶ່ງ ອັນບໍ່ແຕກຕ່າງໄປກວ່າຈຸດເດີມທີ່ເຂົາເປັນ!!!!!!
ແລ້ວອັນໃດລະ ຄືຊີວິດທີ່ເປັນແກ່ນສາຂອງເຂົາລະ ?
-------------------------------------------------------------------------------------------------
สัพพะชีวิต ย่อมมีความอาสามราถยืนอยุ่บนหน้าโลกรี้ได้ ย่อมมีเหตุปัจจัยที่เกื้อกูลต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นคนยากดีมีจน และผ่านกลาง หรือบรรดาชั้นคนในสังคม ล้วนแต่มีความเสมดภาคกัน ในตวามเป็นผู้มีชีวิตเต็มเปลี่ยมไปด้วย ความหวัง ความหวังของสัพพะชีวิต เต็มเปลี่ยมไปด้วยความหวัง ของสัพพะชวิต ย่อมตั้งอยู่ในมะโนคติของใครมัน เจตนาของเขาย่อมมีเอกราช ที่ไม่มีพลังอำนาจใด จะมาบังคับ บัญชาได้เวั้นเสียแต่เขาเองเป็นผู้ยินยอม หรือจำยอม ให้พลังอำนาจอื่นเข้ามาครอบครอง มโนเจตนา และความมุ่งหวังของเขาเองได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นได้ เขาเองจักเป็นเหมือนต้นไม้ตายทั้งยืน หรือต้นพร้าว ต้นตาน ที่ยอดด้วนเทเท่านั้น ไม่มีวันที่จะฟี้นคืนมาได้ เลยแม้แต่ในปัจจุบัน อนาคต ความเป็นแด่นสารของเขาจะเรี่มต้นจาดจุดหนึ่ง และจะไปสิ้นสุดที่จหนึ่งอันไม่แตกต่างจากจุดเดีมที่เขาเป็น......
แล้วอันใดละชีวิตที่เป็นแก่นสารของเขาละ ?